พ่อท่านเขียว กิตฺติคุโณ กับ...ที่มาของฉายา 'เทพเจ้าฝ่ายบู๊'
พระเกจิอาจารย์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "เทพเจ้า" มีอยู่หลายรูป ส่วนใหญ่จะมรณภาพไปแล้ว เช่น "เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำชี" คือ พระมงคลญาณเถร หรือ หลวงปู่มา ญาณวโร ประธานสงฆ์แห่ง วัดสันติวิเวก อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด
"เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง" คือ พระสุนทรธรรมากร หรือ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม
"เทพเจ้าแห่งดอน (โคก) ยายหอม" คือ พระราชธรรมาภรณ์ หรือหลวงพ่อเงิน จนฺทสุวณฺโณ วัดดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม
"เทพเจ้าของชาวชุมพร" คือ หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อ.เมือง จ.ชุมพร และ "เทพเจ้าแห่งเมืองพิจิตร" หรือเทพเจ้าแห่งโพทะเล คือ หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ วัดบางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร
ในขณะที่ พระเกจิอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ คือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โดยมีการตั้งฉายานามว่า "เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด"
ส่วนอีกรูปหนึ่ง แม้ว่าท่านจะมีชื่อเสียงโด่งดังไม่เท่าหลวงพ่อคูณ แต่ก็เป็นที่รู้จักของพี่น้องชาวใต้เป็นอย่างดี คือ พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ หรือ พระครูอนุศาสน์กิจจาทร อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ที่ได้รับฉายานามว่า "เทพเจ้าฝ่ายบู๊"
สำหรับที่มาของฉายานาม "เทพเจ้าฝ่ายบู๊" ของพ่อท่านเขียว เพราะท่านได้ทำนายเหตุการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ก่อนล่วงหน้า พร้อมกับสร้างตะกรุดพิสมรหลวงปู่ทวด แจกพี่น้อง ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนมีเหตุการณ์ความไม่สงบ
และตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ยังไม่มีผู้ใดแขวนเครื่องรางของขลังของพ่อท่านเขียว แล้วสังเวยชีวิตให้แก่เหตุการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เลย แม้แต่คนเดียว ส่วนยิงไม่ออก ยิงไม่เข้า ยิงไม่ถูก หรือแม้แต่โดนระเบิดไม่เป็นไร มีให้เห็นอยู่ทุกวัน
พ่อท่านเขียว เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ ต.หน้าถ้ำ อ.เมือง จ.ยะลา บิดาชื่อนายทอง เพ็ชรภักดี มารดาชื่อ นางกิ๊ม เพ็ชรภักดี ถือกำเนิดในครอบครัวชาวนาใน จ.ยะลา เป็นบุตรคนที่ ๓ จากจำนวนทั้งหมด ๗ คน
กระทั่งอายุได้ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทตามประเพณีนิยม ณ วัดนางโอ ปัจจุบัน คือ วัดบุพนิมิตร อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๔๙๒ ณ พัทธสีมา วัดนางโอ โดยมี พระครูมนูญสมณการ วัดพลานุภาพ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแดง ธมฺมโชโต วัดนาประดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการทอง จนฺทโชโต วัดภมรคติวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่ออุปสมบทครองผ้าเหลือง พ่อท่านเขียว ได้จำพรรษาอยู่วัดนางโอ โดยท่านได้ใช้เวลาที่ว่างจากกิจของสงฆ์ เล่าเรียนการสวดมนต์ในบทสำคัญต่างๆ รวมถึงการสวดภาณยักษ์ในแบบฉบับของภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก เหมือนก่อนแล้ว กระทั่งพรรษา ๒ ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสุนทรบัญชาราม อ.รามัญ จ.ยะลา พรรษาที่ ๓ พ่อท่านเขียว ได้ย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดนางโออีกครั้ง ได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ กับ “ตาเลี่ยม” ฆราวาสที่เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนา อีกทั้งสรรพวิชาจากผู้เรืองพระเวทย์วิทยาคม ในเขตนั้นอีก จำนวนนับไม่ถ้วนซึ่ง
ในทางธรรม ท่านปฏิบัติเคร่งครัด ศึกษาด้านปริยัติธรรมบาลีไวยากรณ์และนักธรรม รวมถึงการสวดมนต์ สาธยายธรรม ด้วยเหตุนี้เอง พ่อท่านเขียวท่านจึงสามารถสวดปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่ในพรรษาที่ ๕ ท่านได้รับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดนางโอ จนกระทั่งได้เป็นเจ้าอาวาสในลำดับต่อมา
ในช่วงนี้เอง ที่ท่านได้เป็นสหธรรมมิกกับ พระครูวิสัยโสภณ (พระอาจารย์ทิม) เจ้าอาวาสวัดช้างให้ ด้วยความสนิทสนม ชอบพออัธยาศัย ไปมาหาสู่กันเสมอ ระยะทางระหว่างวัดทั้งสองไม่ไกลกันนัก โดยได้ร่วมสังฆกรรม สนทนาธรรมร่วมพิธีกรรมต่างๆ กันเสมอ
โดยเฉพาะเมื่อคราวที่พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ สร้างพระหลวงปู่ทวด เนื้อว่าน รุ่นแรก เมื่อปี ๒๔๙๗ เพื่อแจกแก่ผู้ที่ร่วมสร้างอุโบสถ วัดช้างให้ นั้น พ่อท่านเขียว เป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมงาน โดยคลุกเนื้อผสมว่าน และร่วมอยู่ในพิธีกรรมเจริญพุทธมนต์
ระหว่าง ที่ท่านพระอาจารย์ทิมอัญเชิญดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด เพื่อปลุกเสกพระเครื่องเนื้อว่าน รุ่นแรก ในปี ๒๔๙๗ และร่วมพิธีกรรมปลุกเสกอีกหลายวาระ
จนเมื่อพระอาจารย์ทิมท่านมรณภาพแล้ว ยังมีพิธีกรรมที่สำคัญอีก ๑ วาระ คือ พิธีปลุกเสกพระหลวงปู่ทวด เนื้อว่าน รุ่นปี ๒๕๒๔ ปัจจุบันเป็นที่เสาะหากันมาก เพราะมีประสบการณ์คุ้มภยันตรายแคล้วคลาดปลอดภัย แก่ผู้ที่นับถือ
นอกจากนี้ พ่อท่านเขียว ยังได้รับนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ ในหลายพิธีตลอดมา ทั้งไกลและใกล้ จนถึงปัจจุบัน
ท่านพระอาจารย์ธีร์ เจ้าอาวาสวัดห้วยเงาะ ในเวลานั้น จึงได้มานิมนต์พ่อท่านเขียวไปอยู่ด้วยกันที่วัดห้วยเงาะ เนื่องด้วยพรรษาท่านมาก จะได้ดูแล และไม่ต้องพบกับภาระเหนื่อยหนักอีก
พ่อท่านเขียวท่านเป็นพระสงฆ์ที่มัธยัสถ์ อดออม และรักสันโดษ ท่านชอบการอ่านหมั่นศึกษาหาความรู้ในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมายบ้านเมือง การเกษตรกรรม โหราศาสตร์ สมุนไพรกลางบ้าน รวมถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ในอันที่จะนำไปสงเคราะห์ผู้อื่นได้
พ่อท่านเขียว เป็นพระเถระผู้มีเมตตาสูงกับเหล่าศิษยานุศิษย์ และผู้ที่ไปขอให้ท่านเสกเป่าบรรเทาทุกข์ แก้ไขสิ่งที่ขัดข้องในชีวิต ท่านเมตตาเสมอเหมือนกันหมด ไม่ว่ายากดีมีจนมาจากไหน ไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ โดยไม่แบ่งแยก ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด และท่านไม่จับหรือรับเงินที่มาถวายเลย พ่อท่านไม่เคยสนใจลาภสักการะต่างๆ ใครไปให้ท่านช่วย พอจะลากลับ หากถวายเงินท่าน พ่อท่านจะนิ่งเฉย และถามกลับว่า
“เอามาให้เราทำไร เราเป็นพระ ไม่ต้องใช้ หากจะทำบุญ ก็เอาไปใส่ตู้บริจาคภายในวัดตรงไหนก็ได้”
นอกจากนี้แล้ว คำสอนหนึ่งที่ท่านชอบสอนทุกๆ คนที่ไปหาท่าน คือ ให้ทำดี ละเว้นชั่ว ตั้งมั่นในความซื่อสัตย์ กตัญญู อดออมทรัพย์สิน ใช้จ่ายอย่างประหยัด
ที่สำคัญ คือ ท่านสอนให้เลิกใช้คำว่า “ทำมาหากิน” แต่ให้ใช้คำว่า “ทำมาหาไว้” แทน ในทำนองว่า ทำมาหาไว้ อย่ากิน อย่าใช้ จนหมด นั่นเอง
พ่อท่านเขียว ได้ตั้งปฏิปทามั่นในการอยู่ในพื้นที่อันตราย จ.ปัตตานี โดยไม่คิดย้ายที่อยู่ไปแห่งใหม่ที่ปลอดภัยกว่า ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้มีภาระใดๆ (ท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส) ท่านยังคงอยู่เป็นขวัญกำลังใจของทหารหาญ และพลเรือนในพื้นที่นั้นต่อไป สั่งสอนธรรมะของพุทธองค์สืบไป
----------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ คมชัดลึกออนไลน์ครับ
----------------------------------------------------------------------------------
วัตถุมงคลของหลวงพ่อเขียวที่ทางร้าน บัวทองพระเครื่อง มีให้บูชา..............
|