Admin |
บางกะทิง......บ้านเกิด..กับการกลับไปกรุงเก่า |
|
|
|
ประวัติวัดบางกะทิง
ต. หัวเวียง อ. เสนา จ. พระนครศรีอยุธยา
วัด นี้เป็นวัดโบราณตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สร้างในปลายรัชสมัยแผ่นดินสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช การสร้างขึ้นในครั้งนั้น นัยว่าพระยาสีหราชเดโชชัย (ทิป) เป็นผู้นำการสร้างขึ้น แต่ยังไม่สำเร็จเรียบร้อยทั้งหมด ครั้งต้นแผ่นดินพระเทพราชาพระญาติราชวงศ์บ้านพลูหลวงได้มาสร้างเพิ่มเติมจน สำเร็จเรียบร้อย และตั้งชื่อว่าวัดใหม่บางกะทิง เดิมทีเดียวนั้นวัดไม่ได้อยู่ตรงปัจจุบันนี้ สถานที่ตั้งอยู่เดิมคงอยู่ตอนเหนือวัดไปราว ๑ เส้น เนื้อที่ที่สร้างวัดนี้ เป็นเนื้อติดกับเขตบริเวณบ้านพักของพระยาสีหราชเดโชชัย (ทิป) ปัจจุบัน มีต้นสตือเก่าแก่อยู่ ๒ ต้น เขตบริเวณบ้านพระยาสีหราชเดโชชัย (ทิป) นี้ปัจจุบันเป็นที่ทำสวนครัวปลูกพืชของนายบุญชอบ นางตลุ่ม ฤกษ์สมโภชน์ และที่นาของนายมาก นางจรัญ ปิยะนุช เมื่อคราวที่นายบุญชอบ นางตลุ่ม ฤกษ์ สมโภชน์ ได้ขุดคูถมโคกในเนื้อที่ประมาณ ๒ไร่ เพื่อปลูกพืชต่างๆได้พบเศษถ้วยชามในสมัยอยุธยาเป็นจำนวนมาก และได้พบตัวหมากรุกซึ่งทำด้วยดินเผาจำนวนหนึ่ง ส่วนมากชำรุดและมีดีๆอยู่บ้างก็ไม่สนใจ ขณะนี้ยังเหลืออยู่ ๑ชิ้น ผู้สันทัดกรณีย์ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องปั้นดินเผาในแผ่นดินสมเด็จพระ นารายณ์
เหตุ ที่วัดย้ายจากที่เดิมมาอยู่ ณ ที่เห็นในปัจจุบันนี้ เพราะเหตุว่ากระแสน้ำได้เปลี่ยนทางเดินลำน้ำเดิมนั้นจากข้างวัดใบบัวล่องลง มาผ่านหน้าวัดโคกกระทุ่ม (ปัจจุบันนี้เป็นวัดร้าง) ผ่านหน้าวัดใหม่บางกระทิงและไหวไปออกปลายเขตบ้านทางช้าง ปัจจุบัน คือ ที่ตั้งวัดสุวรรณเจดีย์ ครั้นกระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินใหม่ อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ จึงทำให้ลำคลองเก่าตื้นเขินขึ้นและเดินเป็นพื้นเดียวกัน วัดใหม่บางกะทิงจึงอยู่ห่างไกลตลิ่งออกไปทุกที จึงทำการย้ายมาอยู่ ณ ที่ปัจจุบันนี้
การย้ายมาอยู่ ที่แห่งใหม่นี้ ในราชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในการย้ายและปฏิสังขรณ์ใหม่นี้ พระยาประสิทธิ์ (น้อย) เป็นหัวหน้าในการปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ และได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “วัดใหม่เจ้าพระยามัคคาราม” แต่ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆว่า วัดใหม่ ในที่สุดคำว่า เจ้าพระยามัคคารามก็เลือนหายไปในที่สุด และเรียกวัดใหม่กันเรื่อยมา ครั้นต่อมาท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันจึงเปลี่ยนเป็น “บางกะทิง”ทั้งนี้เพื่อรักษานามเดิมและชื่อของตำบล
วัด บางกะทิงนี้นับว่าเป็นวัดเก่าแก่ ที่รองลงมาจากวัดโคกกระทุ่ม และ วัดไผ่ล้อม (ปัจจุบันทั้งสองวัดนี้เป็นวัดร้าง)คำว่าวัดใหม่นี้บางท่านอาจเข้าใจผิดว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นภายหลังวัดอื่นๆในละแวกนั้นคำว่า วัดใหม่นั้นคือ สร้างขึ้นใหม่ต่อจากวัดโคกกระทุ่ม และวัดไผ่ล้อมนั้นเอง แต่สร้างขึ้นก่อนวัดโบสถ์บนวัดใบบัว วัดประคู่โลกเชษฐ์ วัดบันไดช้าง วัดสุวรรณเจดีย์ วัดหัวเวียง วัดโบสถ์ล่าง วัดยวด ทุกวัดนี้อาวาสที่ชอบบริหารก็ก่อสร้างเปลี่ยนแปลงไปตาม ความคิดเห็น เจ้าอาวาสองค์ใดไม่ชอบบริหารก็ปล่อย ให้ ทรุดโทรมไป ชาวบ้านที่มีศรัทธาจะก่อสร้างสิ่งใด ก็สร้างขึ้นตามความชอบของตน ฉะนั้นถาวรวัตถุบางอย่างจึงไม่เหมาะกับสถานที่ จึงดูไม่เหมาะสมสวยงามตามแบบแปลนแผนผังในปัจจุบันนี้
๒
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นยุคที่วัดทรุดโทรมมาก ครั้นต่อมา นายอุย นางไหม คหบดีในตำบลได้มีศรัทธาก่อสร้างพระเจดีย์ วิหาร และพระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลืองขนาดใหญ่ไว้อีกจำนวนหลายองค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ นางพ่วง ฤกษ์เกษม ได้สร้างหอสวดมนต์และศาลาท่าน้ำ
วัดนี้มารุ่งเรืองขึ้นในสมัยที่ท่านพระครูพิศิษฐ์สังฆการ ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านเจ้าอาวาสองค์นี้ชอบบริหารและมีฝีมือในการช่างอยู่บ้าง เมื่อท่านมาอยู่ก็เริ่มลงมือปฏิสังขรณ์อุโบสถทันที โดยมีท่านเจ้าคุณวิมลศีล (ลับ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน เป็นผู้สนับสนุนในการปฏิสังขรณ์ครั้งนี้ ท่านเจ้าคุณสุวรรณวิมลศีล เห็นพระประธานในพระอุโบสถมี๒องค์ชอบกลอยู่ และเห็นว่าไม่เหมาะสมและขาดความสวยงาม จึงให้ย้ายเอาไปไว้ในพระวิหารเสียองค์หนึ่ง ที่เหลืออีกองค์หนึ่งก็ให้ช่างพอกปูนใหม่ เพื่อให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า นายฟู พุ่มโอภาษขณะนั้นบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้เป็นผู้ปั้นโดยทุนส่วนตัวของ ท่านเจ้าอาวาส และท่านได้ขายเข็มขัดของโยมมารดาคิดเป็นเงินในสมัยนั้น ๒๕๐ บาท เข้าร่วมด้วย ส่วนฐานชุกชีได้รับเงินบริจาคจากคณะสัปบุรุษ เมื่อสร้างเสร็จได้จ้างนางสะอาด บ้านพรานนก ธนบุรี เป็นผู้ปิดทอง สิ้นเงินค่าทองและค่าแรงงาน ๑๑, ๕๐๐ บาทท่านเจ้าอาวาสได้สละเงินส่วนตัว และได้ขายจี้ทองคำฝังเพชรของโยมมารดา คิดเป็นเงินในสมัยนั้น ๑, ๖๐๐ บาท เข้าร่วมกับเงินของคณะสัปบุรุษ
การปฏิสังขรณ์อุโบสถเริ่มลงมือ เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ สิ้นเงินค่าก่อสร้าง ๒๘.๐๐๐ บาทเศษ
นายช่างที่ก่อสร้างครั้งนี้คือ นายเฟื่อง ภิญญโภธิ์ เป็นนายช่างใหญ่ นายหนวน ทองสีจัด เป็นนายช่างรอง เดิมทีเดียวใช้กระเบื้องดินเผาธรรมดามุงหลังคา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงประสิทธิ์นรกรรม(เหจี่ยน หงส์ประภาษ) และคุณนาย ได้บริจาคทรัพย์เปลี่ยนเป็นกระเบื้องเคลือบให้ใหม่ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนค่ารื้อและมุง ท่านเจ้าอาวาสและคณะสัปบุรุษช่วยกันบริจาคเป็นเงิน ๒, ๐๐๐ บาท
------------------------------------------------ |
|
|